มาตรฐานที่ 4 จิตวิทยาสำหรับครู
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาพัฒนาการ
ขั้นพัฒนาการทางเพศของฟรอยด์ แบ่งออกเป็น 5 ขั้น คือ
1. ขั้นปาก (Oral Stage) (0-2 ปี )
2. ขั้นทวารหนัก (Anal Stage) (2-3 ปี )
3. ขั้นความสนใจอวัยวะเพศ (Phallic Stage) (3-5 ปี )
4. ขั้นซ่อนเร้น (Latency Stage) (5-12 ปี )
5. ขั้นอวัยวะเพศปกติ (Genital Stage)
ทฤษฎีพัฒนาการทางสังคมของแอดเลอร์มีหลักสำคัญ 4 ประการ คือ
1. การเข้าร่วมสังคมจะเริ่มมาจากครอบครัว
2.ความรู้สึกมีปมด้อยทั้งทางร่ายกายและสังคม
3.วิถีทางปฏิบัติเพื่อลดปมด้อยและสร้างปมเด่นของตนขึ้นมา
4.เป้าหมายถึงจุดมุ่งหมายในชีวิตของแต่ละบุคคลจะยึดหลักของความพอใจของแต่ละคนเป็นสำคัญ
ทฤษฎีพัฒนาการทางบุคลิกของอิริกสัน มี 8 ขั้นตอน คือ
1.อายุแรกเกิด-1ขวบ เรียกว่า Trust vs. Mistrust
2.อายุ 1.5-3 ขวบ เรียกว่า Autonomy vs. Shame and Doubt
3.อายุ 3-5 ขวบ เรียกว่า Innitiative vs. Guilt
4.อายุ 6-12 ปี เรียกว่า Industry vs. Inferiority
5.อายุ 12-18 ปี เรียกว่า Identity vs. Role confusion
6.อายุ 18-21 ปี เรียกว่า Intimacy vs. Isolation
7.อายุ 22-40 ปี เรียกว่า Parental vs. Stagnation
8.อายุ 40 ปีขึ้นไป เรียกว่า Ego Integrity vs. Despair
ทฤษฎีพัฒนาการทางด้านสติปัญญาของเพียเจท์ มี4ขั้นตอน คือ
1.อายุแรกเกิด-2 ปี จะอาศัยปราสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหวจากปฎิกิริยาสะท้อนมาเป็นเครื่องช่วย
2.อายุ 2-7 ปี เป็นขั้นก่อนมีความคิดร่วมยอด ระยะนี้เด็กจะมีพัฒนาการทางด้านภาษาและความคิดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
3.อายุ 7-11 ปี ขั้นการคิดหาเหตุผลโดยการใช้รูปธรรม
4.อายุ 11-15 ปี เป็นช่วงที่เด็กเริ่มคิดหาเหตุผลในลักษณะที่เป็นนามธรรมได้อย่างถูกต้อง
ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ ประกอบด้วย
1.ความต้องการทางด้านร่างกาย
2.ความต้องการด้านความปลอดภัย
3.ความต้องการด้านความเป็นเจ้าของ
4.ความต้องการได้รับการยกย่องนับถือ
5.ความต้องการที่จะบรรลุถึงความต้องการที่แท้จริงของตนเอง
ซึ่งความต้องการในแต่ละขั้นจะต้องได้รับการสนองก่อนจึงจะทำให้เกิดความต้องการในขั้นต่อไป
จิตวิทยาการศึกษา
จิตวิทยาการศึกษา เป็นวิชาที่ว่าด้วย
1.การเจริญงอกงามด้านต่างๆของบุคคล
2.การปรับตัว
3.การขยายและเสริมสร้างประสบการณ์
4.การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและการเรียนรู้
5.พัฒนาการ
ข้อจำกัดของจิตวิทยาการศึกษา
วิ ลเลียม เจมส์ นักจิตวิทยาการรุ่นบรมครูของสหรัฐกล่าวว่า วิชาจิตวิทยาเป้นวิทยาศาสตร์ การสอนเป็นศิลปะ เมื่อเราจะนำจิตวิทยามาช่วยในการสอน ก็จะต้องใช้การพิจารณาอย่างรอบคอบและประสบการณ์เข้าช่วยอย่างมาก จะต้องนำเอาความรู้ทางจิตวิทยามาใช้ควบคู่กับการสอนให้เหมาะสม
จิตวิทยาการศึกษากับการสอน มีส่วนช่วยในเรื่องการสอนดังนี้ คือ
1.ทางด้านแนะแนวทาง (Directional aspect)
2.ทางด้านสร้างแรงจูงใจ (Motivation aspect)
3.ทางด้านสร้างทัศนคติ (Attitude aspect)
4.ทางด้านเทคนิค (Technique aspect)
จิตวิทยาการศึกษากับการปรับปรุงหลักสูตร
1.การปรับปรุงตำราเรียน
2.การปรับปรุงระดับความยากง่ายของวิชาให้เหมาะสมกับเด็ก
3.การส่งเสริมให้เด็กทำกิจกรรมเอง ส่งเสริมให้เด็กได้ทำเอง
4.การจัดเวลาเรียนให้เหมาะสมกับวัยและความตั้งใจ
5.พิจารณาถึงสุขภาพและสวัสดิการของเด็กมากขึ้น
จิตวิทยาการศึกษากับการแนะแนว มีส่วนช่วยทางด้านแนะแนว ดังนี้
1.เข้าใจปัญหาด้านจิตใจและร่างกายของเด็ก
2.เข้าใจถึงวิธีการแนะแนว
3.ช่วยในการศึกษาเด็กเป็นรายบุคคล
จิตวิทยาการแนะแนวและการให้คำปรึกษา
จุดมุ่งหมายของการแนะแนว
1.เพื่อให้เด็กเข้าใจตนเอง สามารถตัดสินใจแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง
2.เพื่อช่วยให้เด็กแต่ละคนมีความสามารถในการปรับตัวให้เหมาะสมกับสภาวะแวดล้อม
3.เพื่อช่วยให้เด็กมีความรู้และประสบการณ์อย่างกว้างขวาง
4.เพื่อรวบรวมข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับเด็กให้คณะครูเกิดความเข้าใจเด็กยิ่งขึ้น
5.เพื่อช่วยให้ผู้อำนวยการ อาจารย์ใหญ่ ผู้ปกครองเข้าใจเด็กดีขึ้น
6.เพื่อช่วยให้โรงเรียนมีข้อมูลเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน
7.เพื่อช่วยป้องกันหรือลดปัญหาเกี่ยวกับความศูนย์เปล่าทางการศึกษาที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก
บริการแนะแนวที่ควรจัดในโรงเรียน
1.บริการรวบรวมข้อมูลนักเรียน
2.บริการสนเทศ
3.บริการให้คำปรึกษา
4.บริการจัดวางตัวบุคคล
5.บริการติดตามผลและประเมินผล
ประเภทของการแนะแนว
1.การแนะแนวการศึกษา ช่วยให้นักเรียนรู้จักเลือกสายวิชาและวิชาเรียน
2.การแนะแนวอาชีพ ช่วยบุคคลในการเตรียมตัวเลือกอาชีพ และปรับตัวให้เข้ากับงานเพื่อก่อให้เกิดความก้าวหน้าในอาชีพ
3.การแนะแนวส่วนตัวและสังคม ช่วยให้บุคคลรู้จักดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขทั้งกายและจิตใจ
ปรัชญาการแนะแนว
1.บุคคลแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกันทั้งทางร่างกาย สังคม อารมณ์ สติปัญญา ความสนใจ ความสามารถ ความถนัดและเจตคติ
2.บุคคลเป็นทรัพยากรที่มีค่าและมีศักยภาพแฝงอยู่ในตน
3.พฤติกรรมทุกอย่างของบุคคลย่อมมีสาเหตุ
4.คนทุกคนมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคน
5.บุคคลทุกคนย่อมต้องการความช่วยเหลือไม่มากก็น้อย
6.บุคคลจะมีความสุขเมื่อมีโอกาสดีรับการศึกษาสูงตามกำลังสติปัญญาและความสามารถของเขา
บริการให้คำปรึกษาในโรงเรียน
เป็น บริการที่ให้ความช่วยเหลือนักเรียนในการวางแผนทางการศึกษาต่อ และการประกอบอาชีพในอนาคต โดยการช่วยเหลือให้นักเรียนสามารถตัดสินใจเลือกด้วยตนเองได้อย่างฉลาด เริ่มจากการเลือกวิชาที่จะเรียนอันจะเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่งานอาชีพที่ตน สนใจในอนาคต หรือที่จะนำไปสู่การเรียนในมหาวิทยาลัยต่อไป นอกจากนี้ยังช่วยให้นักเรียนแก้ปัญหาด้านส่วนตัวและสังคม โดยเฉพาะปัญหาในเด็กวัยรุ่น จะเห็นได้ว่า การแนะแนวและการให้คำปรึกษานี้ มีลักษณะคล้ายคลึงและใกล้เคียงกันอยู่มาก ซึ่งทั้งนี้ การให้คำปรึกษาก็เป็นหนึ่งในหลายบริการของการแนะแนวนั่นเอง และการให้คำปรึกษานี้ นับว่าเป็นหัวใจสำคัญของการแนะแนวทีเดียว